แม้ Instagram Stories จะกลายเป็นพื้นที่หลักที่ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และผู้หญิงใช้เป็นประจํา ทุกวัน แต่หลายแบรนด์ FMCG ในไทยกลับยังให้ความสําคัญกับโพสต์ในฟีดหรือคอนเทนต์แบบเดิมๆ มาก กว่า ทั้งที่ Stories คือจุดที่แบรนด์สามารถเข้าถึงแบบไม่ต้องขออนุญาตได้ง่ายที่สุด ตรงเวลา เป็นส่วนตัว และใช้ฟอร์แมตที่เหมาะกับพฤติกรรมคนดูในยุคนี้
คําถามคือ โอกาสตรงนี้หลุดมือ ไปเพราะอะไร? และเราจะใช้ Stories อย่างไรให้เกิดผลมากกว่าการแค่ลงโปรโมชันชั่วคราว?
หลายแบรนด์ยังคงเทนํ้าหนักไปที่ Feed TVC และ Facebook มากกว่า
ในอดีต แบรนด์ FMCG ไทยจํานวนมากประสบความสําเร็จจากการลงคอนเทนต์ใน Feed ยิง TVC ผ่าน Facebook Video หรือใช้รูปโปรโมชันพร้อมข้อความขายชัดๆ บนเพจหลัก เพราะช่วงนั้นอัลกอริทึมยังเปิด กว้าง Reach ยังฟรี และพฤติกรรมผู้บริโภคยังอยู่กับฟีดจริงๆ
ตัวอย่างของสิ่งที่เคยได้ผล
- ตัด TVC แล้วเอามาลงใน Facebook Feed (และได้ยอดวิวหลักล้าน)
- ใช้รูปโปรโมชันแปะลดราคาแบบชัดๆ (พร้อม copy เดิมทุกช่อง)
- โพสต์ยาวเล่าที่มาของแบรนด์ แล้วมีคนแชร์เพราะใหม่ในตอนนั้น
- ยิงแอด Boost Post แบบง่ายๆ แล้วมียอด Reach พุ่งแบบไม่ต้อง optimize
แต่ปัญหาคือ…
สิ่งที่เคยเวิร์กเมื่อ 3–5 ปีก่อน ไม่ได้การันตีผลในปี 2025 อีกต่อไป
ทําไมแนวทางเดิมเริ่มไม่ได้ผลแล้ว?
ผู้บริโภคเห็นคอนเทนต์เยอะขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
คุณแข่งกับครีเอเตอร์ ตลกหน้าใหม่ และ AI-generated content ในทุกฟีด คอนเทนต์ที่ไม่สด ไม่จริง หรือดู ขายเกินไป จะถูกเลื่อนผ่านทันที
คนดูคาดหวังประสบการณ์เหมือนคุยกับคน ไม่ใช่แบรนด์
พฤติกรรมเปลี่ยน เมื่อคน Gen Z กับ Millennials ไม่สนใจคอนเทนต์ที่ดูโฆษณาจ๋าพวกเขาอยากฟังจาก คนที่ใช้จริง ไม่ใช่จาก TVC ที่ตัดมาแบบแข็งๆ
อัลกอริทึมของ Instagram / Facebook เปลี่ยนไปแล้ว
ฟีดไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยเหมือนเมื่อก่อน เพราะ Reels หรือ Stories และ AI-powered suggestion กลาย เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของ Reach ถ้ายังคิดแบบ Feed-first คุณจะตกขบวนของคอนเทนต์ที่คนเจอโดยไม่ ต้องตาม
Feed เคยเป็นบ้านของแบรนด์ แต่วันนี้ลูกค้าออกจากบ้านนั้นไปนั่งดูคอนเทนต์ใน Stories และ Reels แทน
ถ้าแบรนด์ยังใช้ mindset ว่า โพสต์เหมือนเดิม ยิงแอดเหมือนเดิม แล้วรอผลเหมือนเดิม คุณจะใช้เงินเท่า เดิม แต่ได้ผลลัพธ์น้อยลงเรื่อยๆ
พฤติกรรมคนเปลี่ยนแล้ว แต่แบรนด์ยังไม่ตาม
หลายแบรนด์ยังคงคิดว่า “คนเห็นโพสต์ในฟีดก็น่าจะเพียงพอแล้ว” แต่ในความเป็นจริง พฤติกรรมผู้บริโภคใน ปี 2025 เปลี่ยนไปไกลจากเมื่อก่อนมาก โดยเฉพาะ กลุ่มผู้หญิงและ Gen Z ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของ แบรนด์ FMCG หลายกลุ่ม เช่น personal care ขนมคบเคี้ยว ผลิตภัณฑ์สําหรับเด็ก และผลิตภัณฑ์สกินแคร์
ข้อมูลจริงที่ยืนยันว่าพฤติกรรมคนเปลี่ยนไปแล้ว
IG ผู้ใช้ 91% ดู Stories ทุกวัน
จากรายงานของ Meta (2024) ผู้ใช้ Instagram ทั่วโลกกว่า 91% ใช้ Stories ทุกวัน และ 58% บอกว่า Stories มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ
TikTok กลายเป็นเครื่องมือค้นหาแทน Google สําหรับคนอายุ 18–29 ปี
Google เองยอมรับว่าเกือบ 40% ของ Gen Z ใช้ TikTok หรือ IG Explore แทนการค้นหาบน Search engine แสดงให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ ดูวิดีโอแนวตั้งสั้นๆ เป็นอันดับแรก ไม่ใช่พิมพ์หาข้อมูลเหมือนเดิม
Reels และ Stories มี Engagement rate สูงกว่าฟีดเฉลี่ย 3–5 เท่า
จาก Socialinsider และ Hootsuite คอนเทนต์แนวตั้งสั้นๆ ที่ “ดูจริง พูดจริง ไม่ขายเกินไป” มีโอกาสได้รับ การ engage สูงกว่าคอนเทนต์แบบ static หรือโฆษณาทางการ
แต่หลายแบรนด์ยังทําอะไรอยู่?
- โพสต์รีวิวที่ตัดจาก TVC 30 วินาที
- ใส่ข้อความยาวในฟีดที่คนไม่มีเวลาอ่าน
- โพสต์โปรโมชันเป็นภาพนิ่งวนซํ้าทุกเดือน
- ปรับ TVC เป็น Stories แค่เปลี่ยนขนาด (แต่ไม่ได้เปลี่ยน “เนื้อหาให้เข้ากับพฤติกรรมคนดู”) สิ่งที่หายไปคือ “การสื่อสารแบบคนคุยกับคน” ซึ่งคือสิ่งที่ผู้บริโภคคาดหวังจากแบรนด์ยุคนี้
แล้วแบรนด์ควรทํายังไงให้ตามทันพฤติกรรมคนดู?
คิด Mobile-first // Vertical-first // Native-first
ไม่ใช่แค่แปลงฟอร์แมต แต่ต้องคิดให้เหมาะกับ context ตั้งแต่ต้น เช่น เปลี่ยนจาก “เล่าประโยชน์ของ แชมพู” เป็น “3 วิธีดูว่าแชมพูคุณไม่เวิร์กแล้ว!” โดย Creator คนจริง
ให้ Creator หรือแม่ค้าออนไลน์เล่าแทนแบรนด์
เสียงของคนจริง ชนะเสียงของแบรนด์ในยุคนี้ เพราะคนไม่ชอบฟังแบรนด์พูดกับตัวเอง ตัวอย่างเช่น บน
TikTok ที่แม่บ้านรีวิวสบู่ลูกน้อยแบบเรียลๆ ได้ reach 200K+ โดยไม่ต้องโปรดักชันใหญ่เลย
ใช้ micro-series แทน video ชิ้นเดียวจบ
แทนที่จะทําคลิปเดียว 30 วิให้พูดทุกอย่าง ลองแยกเป็นซีรีส์แบบ (1/3 → 2/3 → 3/3) ให้คนติดตามและ รู้สึกเชื่อมโยงมากขึ้น
จับพฤติกรรมจริงแล้วเล่าผ่านสถานการณ์ แทนสรรพคุณ
แทนที่จะบอกว่า “แป้งตัวนี้ดูดซับดี” ให้เล่าเป็น “เจอลูกวิ่งเล่นจนเหงื่อออกทั้งวัน แม่ทํายังไงไม่ให้เป็นผด ผื่น?”
โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงและ Gen Z ที่ “ไม่ดูเหมือนเดิมอีกแล้ว”
แบรนด์จํานวนมากยังคงให้ความสําคัญกับพื้นที่ดั้งเดิมที่เคยเวิร์กในอดีต เช่น โพสต์ใน Feed โฆษณาทีวี หรือคอนเทนต์รูปภาพยาวๆ บน Facebook
แม้ช่องทางเหล่านี้ยังสําคัญ แต่การแข่งขันสูงขึ้น และพฤติกรรมคนดูเปลี่ยนเร็วมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่น ใหม่ที่เน้นเสพสั้นและไว
แต่ในมุมของผู้บริโภค Stories กลายเป็นพื้นที่ที่พวกเขา ใช้จริง ทุกวัน
กลุ่มผู้หญิงวัย 18–35 และกลุ่ม Gen Z (อายุตํ่ากว่า 26 ปี) คือกลุ่มที่มี พลังการตัดสินใจสูงมากในหมวด
FMCG โดยเฉพาะสินค้าอย่างสกินแคร์ ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย อาหารว่าง และสินค้าสําหรับเด็ก
แต่ปัญหาคือ แบรนด์หลายเจ้ายังพยายามขายให้คนกลุ่มนี้แบบที่เคยใช้กับ Baby Boomer หรือ Gen X ซึ่งมันไม่เวิร์กอีกต่อไปแล้ว
พฤติกรรมเปลี่ยนไปยังไง?
Gen Z และผู้หญิงรุ่นใหม่เสพเนื้อหาแบบเร็ว สั้น เป็นธรรมชาติ
- คน Gen Z ไทยใช้เวลาบน Stories และ Reels รวมกันเฉลี่ย 2.3 ชม/วัน [Source]
- คนกลุ่มนี้ ค้นหาผลิตภัณฑ์ผ่าน TikTok และ IG มากกว่า Google แล้ว [Source]
ไม่ชอบคอนเทนต์ที่ดูขายของเกินไป
- 83% ของ Gen Z บอกว่าชอบคอนเทนต์จากคนธรรมดา/creator มากกว่าแบรนด์ [Source]
- โฆษณาแบบ TVC หรือโพสต์โปรโมชันแบบปิดการขายทันที ไม่กระตุ้น Engagement เท่าคอนเท นต์ที่เล่าเรื่อง รีวิวจริง
ให้ความสําคัญกับความจริงใจ และคนที่พูดด้วย
- ต้องการเห็นคนที่เหมือนตัวเอง ใช้สินค้าแล้วพูดในแบบที่ “เพื่อนจะพูดกัน
- แบรนด์ที่ยังพูดแบบโบราณ หรือพรีเซนต์สินค้าเหมือนในห้าง จะกลายเป็น white noise
ตัวอย่างคอนเทนต์แบรนด์ที่พูดกับเขาไม่รู้เรื่อง
ไม่ต้องชื่อจริง แค่พฤติกรรมที่หลายแบรนด์ทํา
- โพสต์ Stories ขายของด้วยภาพกราฟิกแน่นๆ พร้อมข้อความว่า ลด 50% ด่วน!
- นํา TVC 30 วินาทีมาหั่นลง Stories โดยไม่มีซับ ไม่มี opening hook
- แบรนด์ใหญ่โพสต์แบบทางการ ใช้คําว่า “ท่านผู้บริโภค” หรือ “สุขอนามัยของท่าน” ใน caption
แล้วแบรนด์ FMCG ต้องทํายังไง?
เลิกคิดว่า Stories เป็นแค่ที่ทิ้งโปรโมชัน
- ต้องทํา Stories ให้รู้สึกเหมือนเพื่อนมาเล่า ไม่ใช่แบนเนอร์เดินได้
ทําคอนเทนต์แบบ Native & Human-first
- ใช้ creator หรือ internal staff ที่พูดกับกล้องจริง (ไม่ต้องเพอร์เฟกต์)
- เล่าเรื่องใน 15 วินาทีแบบมี hook ตั้งแต่ 3 วินาทีแรก
- เลือก tone ที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น ชวนคุย ขํา หรือ relatable
ทดลองแบบ low-cost/ high-context
- ทํา A/B test ว่าแบบไหนเวิร์กกว่าระหว่าง กราฟิกจากทีมโปรดักชัน vs คลิปจาก creator ใน ห้องนํ้าบ้านเขา
- ใช้ caption แบบเปิดคําถาม เช่น เคยมั้ย? ล้างหน้าแล้วรู้สึกหน้าแห้งตึงสุดๆ
ตัวเลขก็ฟ้องว่า Stories ทํางานได้จริง (ถ้าใช้ให้ถูก)
หลายแบรนด์ยังมอง Stories หรือ Reels เป็นแค่ช่องเสริม สําหรับโพสต์โปรโมชันหรือ duplicate content จาก TVC แต่ความจริงแล้ว ตัวเลขในเชิง performance และ behavior ของผู้บริโภคกําลังบอกสิ่งตรงกันข้าม คือ มันได้ผล ถ้าใช้ให้ถูกทาง
ตัวเลขจากแพลตฟอร์ม Meta
- Stories บน IG และ FB มีอัตรา Intent to Purchase เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 58% หากคอนเทนต์ดูเป็น ธรรมชาติและ personalized
- CTR ของ Stories ที่ถ่ายแบบมือถือ (ไม่ใช้ production) สูงกว่า Stories แบบ polished 1.6 เท่า [Source]
- แบรนด์ที่ใช้ IG Reels + IG Stories ควบคู่กัน ได้ Engagement รวมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 75% เทียบกับ การใช้แค่ Feed หรือ Stories เดี่ยวๆ [Source]
- ผู้ใช้ Instagram เฉลี่ยเปิดดู Stories 7–10 ครั้งต่อวัน
- Reels มี Engagement rate สูงกว่า Stories เฉลี่ย 3 เท่า (เพราะ Reels แสดงต่อคนใหม่ได้เรื่อยๆ แต่ Stories ถูกจํากัดใน circle เดิม) [Source]
เปรียบเทียบ Stories vs Reels
ความต่างระหว่าง Facebook vs Instagram (Stories & Reels)
Pro tips
- ใช้ FB Stories สําหรับกระตุ้นของ / โปรสั้น / แชร์จากลูกค้า
- ใช้ IG Reels สําหรับสร้างคาแรคเตอร์แบรนด์ / ความไวรัล / กระตุ้นคนรู้จักแบรนด์ใหม่
แล้วแบรนด์ควรเริ่มตรงไหน?
อย่าทํา Stories หรือ Reels แค่เพราะต้องมี
ต้องวาง role ชัด อะไรใช้ปิดการขาย? อะไรใช้เปิดใจ? ไม่ต้อง production หนัก แต่อย่าเละ
Stories แบบมือถือ แต่คิดมาแล้ว ยังเวิร์กกว่าคลิปสวยแต่ดูขายของ
ทดลอง
- A/B Test Stories จากทีมโปรดักชัน vs Creator จริง
- Reels ยาว vs Reels สั้น
- Caption แบบขาย vs Caption แบบเล่าเรื่อง
ใส่ CTA ที่เนียนกับคอนเทนต์
เช่น ทาแบบนี้ทุกเช้า แล้วผิวไม่แห้งเลย ใครเคยลองบ้าง? ดีกว่า ซื้อเลยที่นี่ คลิก!
แต่ปัญหาคือ แบรนด์ยังใช้ Stories แบบ “ผิดบริบท”
แม้จะมีตัวเลขมากมายที่พิสูจน์ว่า Stories (ทั้ง IG และ FB) ช่วยเพิ่มยอดเข้าถึง engagement และ intent to purchase ได้จริง แต่ปัญหาคือ หลายแบรนด์ยังใช้ Stories ด้วย mindset แบบพื้นที่โฆษณา ไม่ใช่พื้นที่บทสนทนา
ตัวอย่างของการใช้ Stories ผิดบริบทที่พบได้บ่อย
เอา TVC มาใส่ Stories โดยไม่ปรับเลย
ฟอร์แมต 16:9 ถูกบีบให้พอดีกับแนวตั้ง แต่ไม่เห็นภาพ ไม่ได้ยินเสียง หรือไม่มีซับ บางครั้ง intro นานเกิน 5 วินาที คน swipe หนีไปตั้งแต่ยังไม่เห็นแบรนด์
Stories ที่เต็มไปด้วยข้อความโปรโมชัน
ลด 50% วันนี้เท่านั้น หรือซื้อ 1 แถม 1 ที่วางบนกราฟิกแน่นๆ และไม่มี hook ใดๆ ไม่ได้ต่างจากแบน เนอร์ที่เราเห็นทุกวัน และไม่ได้เชื่อมโยงกับคนดูเลย
คอนเทนต์ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนดู Stories
คนดู Stories เพื่อความเร็ว ง่าย และเป็นธรรมชาติ แต่บางแบรนด์โพสต์ Stories ที่ยาว 10 หน้า โดยไม่มี จังหวะพัก ไม่มี CTA ที่ชัด หรือไม่มีอะไรดึงให้ดูต่อ
เพราะอะไรสิ่งเหล่านี้ถึงไม่เวิร์ก?
คนใช้เวลาเฉลี่ยแค่ 1.7 วินาทีต่อ Stories หนึ่งหน้า (Meta Data, 2024)
ถ้าภายใน 3 วินาทีแรกไม่ดึงความสนใจ → จบ
คนคาดหวังความ real มากกว่า perfect บน Stories
โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z พวกเขารู้ทันทันทีว่าอันไหนคือโฆษณา และไม่ชอบโดนขายตรง
คนดู Stories ไม่ได้พร้อมซื้อทันทีเสมอ
แต่เขาอาจ “จดจําแบรนด์” ได้ถ้าเล่าได้ดี → ส่งผลตอนเขาไปหาสินค้าใน shelf จริง
แล้วใช้ยังไงให้ถูกบริบท?
ทําให้ Stories รู้สึกเหมือนบทสนทนา ไม่ใช่สคริปต์ขายของ
- เริ่มต้นด้วยคําถาม เช่น ใครเคยเจอปัญหานี้บ้าง?
- ใช้ภาพจริง เสียงจริง หรือคลิปที่ถ่ายแบบมือถือ
เข้าใจ flow ของ Stories ว่าคือซีรีส์สั้นๆ ไม่ใช่โปสเตอร์
- วางเนื้อหาแบบ 1/3 → 2/3 → 3/3
- ใช้ caption สั้นๆ ที่เล่าได้ชัด เช่น ทาแบบนี้ทุกเช้า ผิวลูกไม่แห้งอีกเลย
ใช้หน้าคนจริง ไม่ใช่แค่โลโก้หรือสินค้า
- หน้า/เสียงของคนจริง เพิ่ม engagement ได้สูงกว่า product shot ถึง 3 เท่า (Meta x Nielsen, 2023)
แทรกโปรโมชันแบบไม่ให้รู้สึกโดนขาย
- เช่น รีวิวจากลูกค้า → สลับหน้าสุดท้ายเป็น ถ้าอยากลองเอง คลิกได้เลย
ตัวอย่างคอนเทนต์ Stories ที่ใช้ถูกบริบท
- Creator รีวิวสั้น 3 part (แต่ละ part 10 วิ) → Hook → ใช้จริง → ผลลัพธ์
- วิดีโอ POV เช่น รูทีนเช้าของแม่ลูกวัย 5 ขวบ แล้วแทรกสินค้าอย่างแนบเนียน
- Poll + Emoji Slider แบบเนียนๆ เช่น “วันนี้หน้าแห้งแค่ไหน?” แล้วค่อยเสนอทางออกหน้า 2
Stories ไม่ใช่แค่ media format แต่มันคือ mini moment ระหว่างแบรนด์กับคนดู
หลายแบรนด์ยังมองว่า Stories คือช่องทางเสริม เหมือนป้ายโฆษณารูปแบบใหม่ หรือเป็นที่ลง Flash sale แบบเร่งด่วน
แต่จริงๆ แล้ว Stories ไม่ใช่แค่พื้นที่โพสต์ แต่คือช่วงเวลาสั้นๆ ที่คุณได้เข้าไปอยู่ในสายตา และในชีวิต ประจําวันของผู้บริโภค
มันอาจมีแค่ 15 วินาทีต่อหน้า
แต่มันคือ 15 วินาทีที่แบรนด์ได้อยู่ในมือของลูกค้าโดยไม่ต้องจ่ายค่า Ads เสมอไป
และถ้าคุณทําได้ดี มันอาจเปลี่ยนความรู้สึกจากเห็นผ่านๆ เป็นรู้สึกใกล้
เพราะ Stories เกิดในบริบทที่เป็นชีวิตประจําวัน
ลูกค้าเปิด Stories ตอนรถติด ระหว่างรอลูกหลับ ก่อนนอนขณะนอนเล่นมือถือ หรือช่วงเบื่อในที่ทํางาน
ทั้งหมดนี้คือตอนที่ความตั้งใจ ไม่ได้อยู่กับงานหรือโฆษณา
แต่ถ้าแบรนด์สามารถพูดกับเขา แบบที่ไม่ทําให้รู้สึกว่าโดนขาย จะสร้างความผูกพันได้ลึกแบบไม่รู้ตัว
ทําไมจึงเรียก Stories ว่า mini moment?
เพราะมันคือจังหวะเล็กๆ ที่แบรนด์กับคนดูมีโอกาสได้เจอกันในอารมณ์ที่ใกล้ชิดที่สุด Stories อยู่ในแถวเดียวกับเพื่อน ครอบครัว คนที่เขาติดตามจริง ดังนั้นถ้าคอนเทนต์ของคุณไม่รู้สึกขาย และไม่รู้สึกแปลกแยก
คุณจะได้ status เดียวกับเพื่อนในสายตาเขา ซึ่งนั่นแหละ คือโอกาสทอง
ตัวอย่าง mini moment ที่แบรนด์ทําได้ดี
- วิดีโอ Stories POV ของแม่ลูกที่ใช้ผลิตภัณฑ์ในรูทีนตอนเช้า แบบพูดเองไม่มี voice over
- หนึ่งสไลด์สั้นๆ ที่เล่าว่าสบู่นี้ลูกไม่ร้องตอนสระผม พร้อมภาพจริง
- Poll สั้นๆ ว่า ใครเคยรีบออกจากบ้านจนลืมทาครีมลูกบ้าง? และบอก solution แบบเบาๆ ทั้งหมดนี้คือบทสนทนา มากกว่าโฆษณา
และนั่นคือสิ่งที่คนดู Stories ยอมดู ยอมฟัง และแชร์ต่อ
แล้วแบรนด์ FMCG ควรเปลี่ยนมุมมองอย่างไร?
หยุดมอง Stories เป็นแค่ช่องทางลงโปรโมชัน
→ เริ่มมองว่าเป็นพื้นที่จับมือคนดูไว้วันละนิด จนเขารู้สึกใกล้ชิด
ใช้ Stories เพื่อสร้าง Trust และ Human Touch
→ ไม่จําเป็นต้องขายของในทุกโพสต์ แค่ให้รู้ว่าเราอยู่ตรงนี้ เข้าใจคุณ
จงคิดว่า Stories คือกล้องหน้า ไม่ใช่กล้องโฆษณา
→ ถ้ารู้สึกเหมือนแบรนด์กําลังพูดกับเรา ไม่ใช่พูดใส่เรา คนจะดูจนจบ
BONUS: ถ้าอยากใช้ Stories ให้เกิดจริงลองแบบนี้
- สร้าง native content ที่พูดเหมือนเพื่อน ไม่ใช่ขายของ
- ใช้ storytelling แบบ series (1/3, 2/3, 3/3) ให้คนอยากติดตาม
- ทํา A/B test ระหว่าง content ที่ผลิตจาก creator VS ทีมโปรดักชัน
- หัดเข้าใจ “จังหวะการเสพ” ของคนดู Stories ว่าต้องเร็ว ชัด และจริงใจ
ปิดท้าย
ถึงเวลามอง Stories ใหม่ ไม่ใช่พื้นที่เสริม แต่คือพื้นที่สร้างสัมพันธ์
Instagram Stories (รวมถึง Facebook Stories) ไม่ได้เป็นแค่ media format ที่ต้องเช็คให้ครบใน media plan แต่มันคือ พื้นที่เล็กๆ ที่ลูกค้าเปิดใจให้คุณแบบไม่รู้ตัว
และนั่นคือเหตุผลที่แบรนด์ไม่ควรใช้มันแค่โพสต์โปรโมชั่น หรือปรับขนาดจาก TVC มาใส่แบบขอไปที ในโลกที่คนเสพคอนเทนต์เร็วขึ้น กรองไวขึ้น และเลื่อนผ่านทุกอย่างที่ไม่รู้สึกจริง
Stories กลับกลายเป็น format ที่เปิดโอกาสให้แบรนด์พูดแบบเพื่อน ได้มากกว่าที่เคย ถ้าแบรนด์ไหนมอง Stories แค่เป็นที่วางดีลวันศุกร์ ก็จะได้เพียงยอดคลิกชั่วคราว
แต่ถ้าแบรนด์ไหนใช้ Stories เป็นบทสนทนาเล็กๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของ Trust ระยะ ยาว
ในยุคที่ความสัมพันธ์สร้าง Conversion ได้ดีกว่าคําว่าลดราคา แบรนด์ไหนเข้าใจบริบทของ Stories ก่อน จะเป็นแบรนด์ที่เข้าไปอยู่ในชีวิตประจําวันของลูกค้าได้ โดยที่เขา ไม่รู้ตัว