ในโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วแบบไม่รอใคร สายงานการตลาดดิจิทัลกลายเป็นอาชีพที่หลายคนเล็งเห็นโอกาส ไม่ว่าคุณจะอยากเปลี่ยนสาย หรือกำลังมองหาทักษะใหม่ที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงานในปี 2025 คือช่วงเวลาที่เหมาะจะเริ่มต้นอย่างจริงจัง
เนื่องจากยังมีคนไทยจำนวนมากที่สนใจที่จะก้าวเข้ามาทำงานในสายการตลาดดิจิทัล แต่ขาดประสบการณ์ที่จำเป็นหรือจำนวนปีในการทำงานในด้านนี้อย่างจริงจัง เพื่อที่จะสามารถก้าวข้ามมาทำงานให้กับฝั่ง Digital Marketing
ข่าวดีก็คือคุณไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานมาก่อนก็เริ่มได้ หากสละเวลาและความตั้งใจมากพอ ต่อไปนี้คือแผน 3 เดือนแบบ Step-by-step ที่ช่วยให้คุณก้าวเข้าสู่สายงาน Digital Marketing ได้จริง พร้อมแหล่งเรียนฟรี เครื่องมือที่ใช้ได้ทันที และแนวทางสร้าง portforlio แบบจับต้องได้
เดือนที่ 1 เรียนรู้ Core skills ปูพื้นฐานให้แน่น

เดือนแรกคือช่วง “ตั้งรากฐาน” ให้แน่นหนา ด้วยการเรียนรู้ทักษะหลักของ Digital Marketing ที่คุณจะต้องใช้อย่างแน่นอนในทุกสาย ไม่ว่าจะเป็น SEO / Social Media /Content Marketing หรือ Performance Ads การเรียนผ่านคอร์สออนไลน์ฟรี เช่น Google Digital Garage หรือ HubSpot Academy จะช่วยให้คุณเข้าใจโครงสร้างของวงการนี้ และรู้ว่าเครื่องมือไหนใช้ทำอะไร ที่สำคัญคือไม่ต้องรีบทำทุกอย่างในทีเดียว แค่เรียนให้เข้าใจภาพรวม และรู้จักคำศัพท์พื้นฐานก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญมากแล้ว
เริ่มจากคอร์สฟรีพื้นฐาน
แนะนำแพลตฟอร์มเรียนรู้ที่มีใบประกาศ
- Grow with Google (ภาษาไทยก็มี)
- HubSpot Academy
- Coursera (คอร์ส Digital Marketing Specialization)
หัวข้อที่ต้องเข้าใจ
- SEO คืออะไร
- Content Marketing ทำงานยังไง (8 ขั้นตอนสำหรับผู้เริ่มต้น)
- Social Media Strategy คืออะไร
- Digital Analytics ใช้ทำอะไร
SEO คืออะไร
SEO (Search Engine Optimization) คือกระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์และคอนเทนต์ให้ติดอันดับในผลการค้นหาของ Google (หรือ Search Engine อื่นๆ) แบบไม่ต้องจ่ายเงินโฆษณา
เป้าหมายคือให้คนค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณ แล้วเจอเว็บไซต์ของคุณก่อนใคร ตัวอย่างเข่น ถ้าคุณขายวิตามินสำหรับเด็ก แล้วติดอันดับในคำว่า “ลูกไม่กินข้าว เสริมวิตามินอะไรดี” คนมีแนวโน้มกดเข้าดูและซื้อ
หัวใจของ SEO คือ 3 อย่าง
- เลือก “คำค้นหา” ที่ตรงกับพฤติกรรมผู้ใช้ (Keyword Research)
- เขียนคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ ตอบคำถามได้จริง
- ปรับเว็บไซต์ให้โหลดเร็ว ใช้งานง่าย (Technical SEO)
Content Marketing ทำงานยังไง
Content Marketing คือการทำ “คอนเทนต์ที่มีประโยชน์” เพื่อดึงดูดคนที่ใช่ โดยไม่เน้นขายตรงทันที
เป้าหมาย คือสร้างความเชื่อใจ ให้เขารู้จักแบรนด์ และตัดสินใจซื้อเมื่อพร้อม
ทำงานยังไง?
- ให้ความรู้ ตอบปัญหา เช่น บทความ วิดีโอ infographic
- สร้างความสัมพันธ์ เช่น รีวิวลูกค้า Q&A Live
- สร้างการจดจำแบรนด์ เช่น คำพูดโดนใจ หรือสตอรี่ที่คนอยากแชร์
ตัวอย่าง แทนที่จะบอกว่า “ซื้อสบู่เราสิ” เปลี่ยนเป็นโพสต์ “5 เคล็ดลับดูแลผิวหน้าช่วงหน้าร้อน” ที่มีสบู่ของคุณอยู่ใน list
Social Media Strategy คืออะไร
Social Media Strategy คือแผนที่วางไว้ล่วงหน้าว่าคุณจะใช้โซเชียลมีเดียทำอะไรบ้าง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ทางธุรกิจ ไม่ใช่แค่โพสต์ไปวันๆ ซึ่งรวมถึง
-
กลุ่มเป้าหมาย เข้าใจว่ากำลังคุยกับใคร วัยไหน สนใจเรื่องไหน ใช้แพลตฟอร์มไหน
-
วัตถุประสงค์ที่ทำกับแต่ละช่อง อย่าง FB เพื่อ Engagement หรือ TikTok เพื่อ Awareness
-
รูปแบบของคอนเทนต์ ความแตกต่างกันของคลิป Reel สั้นๆ กับวิดีโอเรื่องยาวบน YouTube
-
ตารางโพสต์ กำหนดวันเวลาที่จะลงไว้ล่วงหน้า และความถี่ของจำนวนโพสต์
-
การวัดผล ประเมินผลวัดจากยอด Like / Share / Click หรือยอดขาย
Digital Analytics ใช้ทำอะไร
Digital Analytics คือการวัดและวิเคราะห์ข้อมูลจากการตลาดออนไลน์ เช่น คนเข้ามาดูเว็บไซต์กี่คน? มาจากแหล่งไหน? ดูหน้าไหนบ่อย? กดซื้อไหม? เพราะการตลาดที่ดี หมายถึงต้องวัดผลได้ ไม่งั้นจะไม่รู้ว่าเงินที่ใช้ไปคุ้มหรือเปล่า
ใช้ทำอะไรได้บ้าง?
- วัดว่าโฆษณาตัวไหนเวิร์กที่สุด
- ดูว่าคอนเทนต์ไหนคนอ่านจบ คอนเทนต์ไหนโดนปัดผ่าน
- วัด Conversion เช่น กี่คนคลิกลิงก์ / สมัคร / ซื้อ
เครื่องมือที่นิยม
- Google Analytics
- Meta Ads Manager
- TikTok Analytics
อ่านหนังสือการตลาดแบบง่าย
- “Digital Marketing for Dummies” เข้าใจภาพรวม
- “Jab, Jab, Jab, Right Hook” สอนการตลาดผ่านคอนเทนต์โซเชียล (เขียนโดย Gary Vee)
Follow ช่อง YouTube และเว็บ Blog ที่เกี่ยวกับ Digital Marketing
- Neil Patel (SEO & Traffic)
- Moz (การวิเคราะห์เว็บไซต์)
- การตลาดวันละตอน (รวมเนื้อหาภาษาไทยที่ง่ายและทันกระแส)
เดือนที่ 2 เลือกสายที่ต้องการ และเริ่มหาทำผลงาน

เมื่อคุณเข้าใจภาพรวมแล้ว เดือนที่สองคือการเลือกสายที่อยากลงลึก เช่น ชอบเขียน เลือกสาย Content / ถนัดตัวเลข เลือก สาย Ads / วางกลยุทธ์เก่ง เลือกทำ Social Media Strategy แล้วเริ่มลงมือทำจริง ไม่ว่าจะเป็นสร้าง Blog ของตัวเอง ทดลองทำเพจ Facebook หรือแม้แต่ช่วยร้านค้าของเพื่อนยิงแอด จุดสำคัญคือมีผลงานจริงที่เอาไว้ใช้เป็น Portfolio และทดสอบความถนัดของตัวเองว่าชอบอะไรจริงๆ
เลือกสายที่เหมาะกับคุณ
เลือก SEO ถ้าชอบวิเคราะห์หรือแก้ปัญหา
สาย SEO เหมาะกับคนที่ชอบวางกลยุทธ์ระยะยาว ชอบค้นคว้า คิดวิเคราะห์ และชอบเห็นผลลัพธ์จากการปรับเล็กน้อยแต่ได้ผลใหญ่
เริ่มยังไงดี
- ศึกษาพื้นฐาน SEO ทั้ง On-page / Off-page
- ฝึกใช้เครื่องมืออย่าง Google Search Console / Ahrefs / Ubersuggest
- เริ่มจากการลองเขียนบทความ Blog และปรับให้ติดอันดับใน Google
เป้าหมาย ทำให้เว็บไซต์ของคุณหรือของลูกค้าปรากฎขึ้นในผลค้นหาหน้าแรก ในคีย์เวิร์ดที่คน search
เลือก Content marketing หากถนัดเขียน
สายนี้เหมาะกับคนที่สื่อสารเก่ง รู้ว่าจะเล่าอะไรให้คนอยากอ่าน ชอบเล่าเรื่อง ชอบทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย
เริ่มยังไงดี
- ฝึกเขียนบทความ, caption, หรือโพสต์ยาวที่มี hook ดึงความสนใจ มี flow ที่ต่อเนื่อง และมี CTA ที่ชัดเจน
- เรียนรู้การวาง content calendar และการวิเคราะห์ performance แต่ละโพสต์
- ลองทำเพจส่วนตัวหรือ blog ที่มีคอนเทนต์เชิงความรู้ / แรงบันดาลใจ
เป้าหมาย สร้าง content ที่ช่วยให้คน “อยากซื้อเอง” ไม่ต้อง hard sell
เลือก Social media ถ้าคุณหลงไหลในแพลตฟอร์มใหม่ๆ
เหมือนกับชื่อ สาย social media ย่อมเหมาะกับคนที่ตามกระแสเก่ง เข้าใจเทรนด์ไว และชอบวิเคราะห์ว่าคอนเทนต์แบบไหนถึงจะได้ผลดี
เริ่มยังไงดี
- ศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้แต่ละแพลตฟอร์ม (TikTok / IG / FB / X)
- ลองทำแผน content โพสต์จริงแบบทดลอง และวัดผลด้วย engagement (Like/Share/Comment)
- ฝึกอ่าน analytics จาก Insight ของแต่ละแพลตฟอร์ม
เป้าหมาย ทำให้แบรนด์มีตัวตน และมีคนพูดถึงในโซเชียล
เลือก Performance ads ถ้าคุณชอบดูตัวเลขและวิเคราะห์ผล
สายคณิตจะเหมาะกับคนที่ชอบวัดผล ชอบเห็นยอดคลิก ยอดขาย และ ROI ชอบทดลองอะไรใหม่ๆ แล้วดูว่าคุ้มไหม
เริ่มยังไงดี
- เรียนรู้การใช้งาน Meta Ads Manager และ Google Ads
- เข้าใจ Bidding system เมื่อยิง Ads เช่น CPC / CPM / CPA
- ฝึกเขียนแคมเปญเล็กๆ และวัดผลจาก CTR / Conversion Rate และ ROAS
เป้าหมาย ยิงแอดให้คุ้ม ได้ยอด ไม่เสียเงินฟรี
เริ่มต้นสร้าง Portfolio ของคุณ
ถ้าคุณอยากเข้าทำงานในสาย Digital Marketing สิ่งที่ช่วยพิสูจน์ความสามารถได้ดีที่สุดไม่ใช่แค่ใบเซอร์ แต่คือผลงานจริงที่คุณเคยลงมือทำมาแล้ว ลองเริ่มต้นจากการสร้างบล็อกส่วนตัว หรือเพจเล็กๆ ที่คุณควบคุมทุกอย่างเองได้ ตั้งแต่คอนเทนต์ การยิงแอด ไปจนถึงการวัดผล แล้วใช้สิ่งเหล่านี้เป็น Portfolio ที่จับต้องได้
- ลองทำ Blog ของตัวเองแบบไม่ต้องเสียเงินบน WordPress หรือ Medium
- สร้างบัญชี Facebook Page หรือ TikTok แล้วลงคอนเทนต์ให้สม่ำเสมอ
- ใช้ CapCut / Canva ในการสร้างคอนเทนต์แบบมืออาชีพ
ทำโปรเจกต์เล็กๆ กับร้านค้าใกล้ๆ บ้าน
คุณไม่จำเป็นต้องเริ่มจากงานใหญ่ สิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดคือลองคุยกับร้านค้าใกล้บ้านอย่าง ร้านกาแฟ ร้านเสื้อผ้า หรือธุรกิจของคนรู้จัก ด้วยการช่วยวางแผนโพสต์ แนะนำแคมเปญ หรือยิง Ads แคมเปญเล็กๆ ให้ สิ่งที่คุณได้ไม่ใช่แค่ประสบการณ์ แต่คือโอกาสฝึกการใช้เครื่องมือเหล่านี้จริง และได้ผลงานจริงที่เอาไว้โชว์ใน portfolio ได้เลย
- ทำรีวิวสินค้าแบบ SEO
- ช่วยจัดแผนคอนเทนต์สำหรับ Facebook Page
- ลองทำแอดเล็กๆ ผ่าน Meta Ads Manager
เดือนที่ 3 ต่อยอดแบบมืออาชีพ

เดือนสุดท้ายคือการอัปเลเวลตัวเองให้พร้อมเข้าสู่ตลาดงานจริง โดยการเรียนคอร์สขั้นสูงเพิ่มเติม เช่น Google Ads Meta Blueprint หรือเริ่มเก็บใบเซอร์ที่ใช้ยื่นสมัครงานได้จริง พร้อมกับเข้ากลุ่ม Digital Marketing บน FBหรือ LinkedIn เพื่อหาโอกาสงาน งานฟรีแลนซ์ คำแนะนำจากคนในวงการ และอย่าลืมสมัครงานจริงๆ อย่างน้อย 3–5 งาน เพื่อฝึกการ present portfolio และซึมซับ feedback จากตลาดงานในปัจจุบัน
หลังจากปูพื้นฐานและมีผลงานในมือแล้ว เดือนที่สามคือช่วงสำคัญที่คุณต้องต่อยอด ให้พร้อมเข้าสู่สนามจริง ทั้งการเรียนรู้เชิงลึก เก็บใบเซอร์จากสถาบันที่เป็นที่ยอมรับ และเริ่มสร้างตัวตนหรือ personal brand ของคุณในวงการด้วยการเข้าร่วมใน Community ต่างๆ รวมถึงการสมัครงานจริงเพื่อเก็บประสบการณ์
เรียนคอร์สขั้นสูง + เก็บใบเซอร์
- Google Ads Certification
- Meta Blueprint
- HubSpot Content Marketing Certification
เข้าร่วม Community & Networking
- เข้ากลุ่ม Facebook / LinkedIn ที่แชร์โอกาสงาน Digital Marketing
- ไปร่วมงานสัมมนา เช่น Online Summit หรือ Martech Meetup
- แชร์สิ่งที่เรียนบน LinkedIn เพื่อสร้าง Personal Brand ของคุณ
สมัครงานจริง
- ทำ Resume + Portfolio ให้ชัดเจน
- เขียนว่าเคยเรียนอะไร ทำโปรเจกต์อะไร ได้ผลลัพธ์ยังไง
- สมัครผ่าน LinkedIn / JobsDB / Fastwork (ฟรีแลนซ์ก็ได้)
ปิดท้าย
การเปลี่ยนสายมาสู่สายงาน Digital Marketing ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ถ้าคุณมีแผน มีเป้าหมาย และลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ เริ่มจากเรียนรู้ทีละเรื่อง ตั้งแต่ฝึกใช้เครื่องมือ ทำให้เกิดผลงานจริง จนถึงการสร้างตัวตนในโลกออนไลน์ สามเดือนจากนี้ คุณอาจได้อาชีพใหม่ที่ตรงกับเทรนด์ของโลก และเป็นจุดเริ่มต้นสู่เส้นทางที่มั่นคงกว่าเดิมในโลกดิจิทัล